Love Like the Falling Petals ใบไม้ผลิที่ไม่มีเธอเป็นซากุระ 2022 พากย์ไทย เต็มเรื่อง
ตัวอย่างหนัง Love Like the Falling Petals ใบไม้ผลิที่ไม่มีเธอเป็นซากุระ 2022 พากย์ไทย
ดูหนังLove Like the Falling Petals ใบไม้ผลิที่ไม่มีเธอเป็นซากุระ 2022 พากย์ไทย เต็มเรื่อง
เรื่องย่อ:Love Like the Falling Petals ใบไม้ผลิที่ไม่มีเธอเป็นซากุระ 2022 พากย์ไทย ความรักที่เกิดจากหยดเลือดและติ่งหู นั่นคือจุดเริ่มต้นของความรักระหว่างฮารุโตะ อาซากุระ (เคนโตะ นากาจิม่า) กับช่างตัดผมสาวมิซากิ อาริอาเกะ (โฮโนกะ มัตสึโมโตะ) ที่ฮารุโตะโกหกแบบตามน้ำว่าเขาคือช่างภาพมือใหม่และมิซากิก็เชื่อตามนั้น จนเมื่อกรรไกรจากมือมิซากิไปตัดใส่ติ่งหูของฮารุโตะโดยอุบัติเหตุ จุดเริ่มต้นก็มาจากตรงนั้นเมื่อฮารุโตะขอมิซากิออกเดต แต่แล้วเมื่อทั้งสองเดตกันจริงและฮารุโตะตัดสินใจสารภาพกับมิซากิว่าเขาไม่ใช่ช่างภาพ แต่เขากำลังทำอะไรเรื่อยเปื่อยเพื่อหนีความจริงที่เขาไม่สามารถรับมือกับความยากในการตามความฝันที่จะเป็นช่างภาพ มิซากิโกรธแต่ไม่ได้โกรธเพราะถูกโกหกแต่โกรธเพราะชายที่ยืนต่อหน้าคือคนที่ไม่ยอมสู้เพื่อฝันของตนเองเมื่อเป็นเช่นนั้นฮารุโตะจึงบอกกับมิซากิว่าจะกลับสู่เส้นทางด้วยความอดทนและจะติดต่อกลับมา แล้วก็เป็นเช่นนั้นเมื่อฮารุโตะกลับไปเริ่มต้นที่เดิมอีกครั้งด้วยความอดทันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของงานที่จะพาเขาไปสู่ความฝัน การสานต่อกับมิซากิจึงเริ่มอีกครั้งและคราวนี้เหมือนไม่มีอุปสรรคใดนอกจากทาคาชิ (เคนโตะ นากายาม่า) พี่ชายของมิซากิที่หวงน้องสาวเพียงคนเดียว แต่กลับมีพี่สะใภ้อายาโนะ (ยูกิ ซากุราอิ) ที่คอยสนับสนุนความรักของมิซากิ และเมื่อถึงตอนนี้เรื่องก็ออกมาสวยงามน่ารัก เมื่อคนสองคนสมัครใจรักกันที่อาจมีบ้างที่มีอุปสรรคกับพี่ชายฝ่ายหญิง แต่นั่นก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ว่าที่น้องเขยต้องเอาชนะใจพี่ชาย แต่เรื่องกลับพลิกผันเมื่อวันหนึ่งมิซากิป่วยด้วยโรคประหลาดที่จะทำให้เธอแก่ก่อนวัย นั่นคือสังขารของมิซากิจะร่วงโรยอย่างรวดเร็วและเมื่อรู้ตัวว่าจะเป็นหญิงสาวที่น่ารักได้อีกไม่นาน มิซากิจึงใช้เวลาที่เหลือมีความสุขกับความรักกับฮารุโตะ เพื่อที่จะเก็บเกี่ยวความสุขไว้ก่อนที่เธอจะหายไปจากชีวิตฮารุโตะด้วยเหตุผลที่ไม่ต้องการให้เขามาเห็นสภาพการป่วยของเธอ และหลังจากนั้นทุกอย่างก็ไม่เคยเข้าข้างมิซากิอีกเลยเมื่อฮารุโตะเองก็ต้องเดินต่อไปตามเส้นทาง แต่กลายมาเป็นพี่ชายทาคาชิที่ต้องดูแลน้องสาวเพียงคนเดียวที่สังขารโรยรา แต่อย่างน้อยยังมีพี่อายาโนะที่ยังคอยอยู่ข้างๆ แต่ทุกอย่างก็กินแรงเหลือประมาณเมื่ออาการป่วยของมิซากิแย่ลงสิ่งที่ต้องตั้งรับอย่างหนักหน่วงคือแรงกาย แรงใจ และแรงเงินถึงที่สุดความรักก็ไม่เคยปราณีเมื่อความรักไม่สนเวลาและสังขารคน ความคิดถึงที่เกาะกินหัวใจของมิซากิที่วันนี้กลายเป็นหญิงชราก็ถูกพี่ชายทาคาชิค้นพบ และนำความคิดถึงนั้นไปสารภาพกับอารุโตะเพื่อเยียวยาหัวใจในช่วงสุดท้ายของชีวิตเธอ และจากนั้นการมาพบกันโดยไม่ได้เห็นหน้าก็ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ฮารุโตะได้ถ่ายภาพเพื่อมิซากิ และวันนี้ฮารุโตะคือช่างภาพมืออาชีพที่มีการจัดแสดงภาพถ่ายตามสัญญา สิ่งที่เขาต้องการคือการพบหน้ามิซากิอีกครั้งและมิซากิเองก็ต้องการพบหน้าเขาอีกสักครั้งที่อาจเป็นครั้งสุดท้าย จวบจนเมื่อทั้งสองได้เจอกันจริงๆอารุโตะกลับจำมิซากิไม่ได้ จึงพาเรื่องราวขอการล่มสลายและการลุกขึ้นยืนได้ในท้ายที่สุดที่ถึงตรงนี้น้ำตามีเท่าไหร่อาจไม่พออย่างที่เกริ่นไว้คือบทหนังเลือกเล่นกับความรู้สึกที่อาจจะเรียกว่าล้อเล่นกับความรู้สึกก็คงไม่ผิด เมื่อหน้าหนังออกมาสีชมพูที่มองเห็นเป็นโรแมนติกดราม่าชัดเจน แต่เรื่องราวในตอนต้นกลับทำให้หัวใจไขว้เขาเมื่อการดูไปความรู้สึกมันบอกหัวใจให้สัมผัสความงดงาม เมื่อความรักก่อเกิด มาสู่การสานความสัมพันธ์ รักกัน มีความสุขและมีความหวังที่พร่างพรายด้วยกัน ด้วยอารมณ์ที่สวยใสมองทางไหนเป็นสีชมพู มีความสุขมีรอยยิ้ม มีความน่ารักเพราะเปิดตัวละครออกมาอย่างเป็นที่รักและโรแมนติกแน่แต่อาจไม่ดราม่าอย่างที่คิด แล้วเห็นความรักในความสัมพันธ์นั้นในหลายมิติ ทั้งแบบหนุ่มสาวและแบบพี่น้องที่ต้องดูแลกันในวันที่ไม่เหลือใครและบทเล่าตรงนี้ได้เพราะผู้ชมสัมผัสได้ด้วยความรู้สึกที่ซึมลึกจนที่สุดแม้จะพยายามเยียวยาแต่สุดท้ายก็ไม่ฝืนเพราะมองเห็นน้องถูกความคิดถึงเกาะกินจนเกือบพังทลายแล้ว บทจึงเล่าเรื่อเวลาต่อมาเมื่อคนสองคนมาเจอกันโดยไม่เห็นหน้าและสร้างความหวังให้ผู้ชมไปพร้อมๆกับทั้งมิซากิและฮารุโตะ เมื่อผู้ชมหวังและลุ้นว่าสุดท้ายคนสองคนจะมาเจอกันหรือไม่ แต่เมื่อเลือกให้สมหวังก็ยังกล้าหักหาญน้ำใจปล่อยให้หัวใจผู้ชมพังทลายไปพร้อมกับตัวละคร และถึงจุดนั้นความรู้สึกผู้ชมก็ดิ่งลึก เศร้าและเจ็บปวดจนสาหัสไม่ต่างกัน แต่หนังญี่ปุ่นก็ยังมีความเป็นเอกลักษณ์เมื่อยังมอบมุมมองของการก้าวเดินต่อไปให้เห็น เมื่อความรักอาจไม่เลือนหายไปจากใจแต่ถึงที่สุดก็ทำได้แค่จดจำมันไว้เป็นความทรงจำที่ดี ทำให้เรื่องมีบทสรุปที่ทรงคุณค่าแต่กว่าจะมาถึงจุดนี้บทหนังพาหัวใจผู้ชมไปปู้ยี่ปู้ยำจนแทบไม่เหลือชิ้นดี เมื่ออารมณ์ผู้ชมไม่ต่างจากรถไฟเหาะตีลังกาเมื่อเริ่มต้นอารมณ์หนึ่งแล้วบีบบี้ขยี้แลหกคามือด้วยอารมณ์หนึ่ง แล้วค่อยมาประกอบให้กลับมาแต่สุดท้ายก็ยังเป็นสัจธรรมเมื่ออะไรที่แตกแล้วอาจสามารถประกอบคืนมาได้ แต่ริ้วรอยที่ถูกทิ้งไว้ก็กลายเป็นเครื่องเตือนใจว่าเวลาของคนทุกคนมีไม่เท่ากัน ด้วยงานด้านบทที่แม้จะดูเห็นว่าสุดท้ายบทสรุปจะดูหาทางลงง่าย แต่ด้วยอารมณ์ที่ก่อตัวจากความรู้สึกที่มีกับหนังก็ทำให้หนังเรื่องนี้คืองานดีที่มีมุมมองของความรักที่ผูกมัดและสุดท้ายก็ต้องปล่อย ด้วยการเล่นกับความรู้สึกผู้ชมล้วนๆ เพราะผู้ชมรู้สึกไปกับภาพที่เห็นอย่างเต็มที่จนน้ำตาที่มีอาจไม่พอจากนั้นก็เลือกที่จะขยี้หัวใจที่เป็นกำลังชมพูด้วยการจัดหนักมาด้วยความเจ็บปวดในหลายมิติทั้งมิซากิ ฮารุโตะ ทาคาชิ หรือกระทั่งอายาโนะ ที่แม้จะเน้นความรักของมิซากิกับฮารุโตะแต่ก็สัมผัสถึงมิติของความรักของทาคาชิที่มีต่อน้อง ความรักที่เป็นความผูกพันระหว่างอายาโนะกับมิซากิที่มาจากความรักของอายาโนะกับทาคาชิ และสิ่งเหล่านี้ที่มันเห็นภาพเพราะบทเล่าเรื่องตัวละครได้ดีโดยที่ไม่ต้องเล่ามากแต่สื่อด้วยภาพที่ผู้ชมเห็น ทำให้ถึงเวลาที่จะมอบมุมความรักของพี่ที่มีต่อน้องให้เห็นผู้ชมก็เชื่อและรู้สึกเช่นนั้นไปทั้งใจเมื่อพี่ชายอย่างทาคาชิที่ยอมทำทุกอย่างโดยไม่คิดซับซ้อนเพราะต้องการรักษาน้องอาจเพราะดูไปบ่นไปชอบหนังดราม่าเมื่อมีมามักจะไม่ค่อยพลาด และดูไปบ่นไปชอบหนังญี่ปุ่นที่ไม่ว่าเทคโนโลยีหรือการก้าวไปข้างหน้าของโลกจะเร็วและไปไกลขนาดไหน หนังญี่ปุ่นก็ยังคล้ายกับหยุดเวลาไว้จนกลายเป็นเอกลักษณ์ และมันทำให้เป็นเสน่ห์ที่ยิ่งดูยิ่งถลำลึก ยิ่งค้นพบยิ่งหลงรักจนไม่ว่าจะมีความบันเทิงจากไหนเข้ามาเป็นตัวเลือกมากมาย หนังญี่ปุ่นก็จะยังคงดึงดูดใจเสมอแม้อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกแรก แต่ถ้ามีงานที่น่าสนใจและเป็นแนวที่ใช่ก็พร้อมสละทุกอย่างมาเพื่อดูความเรียบ เงียบ นิ่ง ดูเอื่อยแต่ดึงดูด ภาพและเพลงบรรยายความรู้สึก และแน่นอนความหมายที่อยู่หลังสิ่งที่เห็นได้ด้วยตาให้ผู้ชมได้ใช้หัวใจสัมผัสและถ้าว่ากันถึงความรู้สึก หนังญี่ป่นที่ค่อยๆให้ผู้ชมซึมซับความรู้สึกเพื่อก่อเกิดอารมณ์ ด้วยการค่อยๆบอกกับผู้ชมด้วยความเงียบแต่รู้สึกได้จนเหมือนเป็นของถนัด การจัดการความรูสึกผู้ชมจึงคล้ายกับเป็นจุดเริ่มต้นของการเขียนบทหนังโดยมีจุดประสงค์นั้น จุดประสงค์ที่จะดึงให้ผู้ชมรู้สึกไปกับตัวละครเพื่อที่จะมีอารมณ์ร่วม แล้วหลังจากนั้นเมื่อความรู้สึกของตัวละครกับผู้ชมได้หลอมรวมกันจนสนิท อารมณ์ของผู้ชมก็ไม่ตางจากตัวละครที่ภาพที่ปรากฎต่อสายตาสามารถบอกความในอะไรบางอย่างได้ เช่นเดียวกับหนังเรื่องนี้ที่จัดการกับความรู้สึกผู้ชมเต็มที่ จนผู้ชมรู้สึกตามก็ล่อหลอกด้วยความรู้สึกที่สวยงามแต่ลงท้ายด้วยความรู้สึกอีกครั้งด้วยการขยี้ สุดท้ายกลับรู้สึกดีที่เห็นเป็นเช่นนั้น Love Like The Falling Petalsอย่างที่กล่าวไว้คือบทหนังมีเจตนาจัดการกับความรู้สึกผู้ชมให้มีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละครในทุกมิติ สิ่งที่ต้องทำคือต้องให้ผู้ชมรักตัวละครทั้งหมดจนหมดหัวใจ เพราะหนังจะจับเอาหัวใจผู้ชมไปโยนเล่นด้วยการเริ่มต้นให้เป็นความงดงามของความรัก ชีวิต และความฝัน บทจึงมอบตัวละครที่ผู้ชมต้องรักในทุกมิติทุกคนโดยที่ไม่มีตัวร้ายนางอิจฉา ปล่อยให้ผู้ชมมองเห็นชีวิตมนุษย์ธรรมดาที่ใช้ชีวิตไปตามปกติด้วยความสุขจนความรักมาเปลี่ยนชีวิต แต่แล้วโรคร้ายก็มาเปลี่ยนชีวิตอีกครั้งจนทำให้ชีวิตที่เคยปกติหกคะเมนตีลังกา จนเมื่อหนำใจกับการขยี้ขยำหัวใจผู้ชมกับชะตากรรมที่ต่อให้พระเจ้าก็คงไม่กล้าลิขิตมาแบบนี้เพราะโรคไม่ใช่โรคที่คนทั่วไปจะเป็นแล้วจึงประกอบความรู้สึกผู้ชมใหม่ให้รู้ถึงการก้าวเดินต่อไปโดยเก็บช่วงเวลานั้นไว้เป็นความทรงจำไม่ต่างจากการถ่ายรูป ตัวละครทุกคนจึงต้องเป็นที่รักและผู้ชมก็รักทุกคนหมดใจด้วยการแสดงของนักแสดงที่นอกจากขอบเขตของบทแล้วไม่มีใครน้อยหน้าใคร ทั้งเคนโตะ นากาจิม่าในบทฮารุโตะที่กับโฮโนตะ มัตสึโมโตะในบทมิซากิที่เป็นคู่รักและเป็นมิติหลักของเรื่อง ด้วยเสน่ห์ของคนทั้งสองที่ดูเข้ากันดีมอบความสดใสในช่วงแรกจนมองเห็นสีชมพูทาบทาทั่ว ด้วยการแสดงที่เข้าคู่กันได้ดีและบทส่งทำให้ความรักมองเห็นพัฒนาการจากคนแปลกหน้ามาเป็นคนรักได้อย่างสนิท ก่อนที่จะจะจัดการความเจ็บปวดในหัวใจของตัวละครที่รับผิดชอบจนผู้ชมรู้สึกตาม และแน่นอนผู้ชมรักและเอาใจช่วยหมดใจส่วนที่ผู้เขียนชอบที่สุดแม้จะเป็นมิติรองคือคู่ของพี่ชายทาคาชิที่รับบทโดยเคนโตะ นากายาม่าและพี่สะใภ้อายาโนะที่รับบทโดยยูกิ ซากุราอิ ที่ถ้าไม่มีมิติของคนคู่หรือคนคู่นี้พาบทที่รับผิดชอบไปไม่ถึงจุดที่ต้องไป เรื่องนี้ไม่มีทางสะเทือนอารมณ์ได้แบบนี้แน่เพราะนี่คือรากฐานของความเป็นมิซากิ เป็นกำแพงให้มิซากิพักพิง เป็นไม่ต่างจากพ่อและแม่ของมิซากิที่มอบความรักและความห่วงไยให้ที่ไม่มีข้อแม้ บทของคนทั้งสองไม่ต้องเล่ามากว่ารักกันมานานแต่แต่มองก็รู้ว่าเป็นเช่นนั้นเพราะนักแสดงทำได้ ทำให้เห็นความรักของพี่ชายที่ยอมทำทุกอยางแม้จะต้องเจ็บปวดเพื่อน้อง มองเห็นความสัมพันธ์ที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันจนไม่ต่างจากพี่สาวกับน้องสาวแท้ๆที่ไม่ต้องเล่ามากแต่สัมผัสได้ด้วยความรู้สึกจึงเป็นมิติรากฐานที่ทำให้ผู้ชมรักตัวละครทั้งสี่อย่างเทให้ทั้งใจด้วยการแสดงที่จะบอกว่าเหมือนดูคนที่เจอกับเหตุการณ์นี้จริงๆ เจ็บจริง รวดร้าวจริงและลุกยืนขึ้นได้จริงของนักแสดงทั้งสี่ เรียกได้ว่าดีกว่านี้คงไม่มีแล้วในการกอบโดยหัวใจผู้ชมผ่านอารมณ์ที่มาจากความรู้สึก กับงานด้านภาพที่มองเห็นความสดใสแม้ชีวิตไม่มีทางออก ทำให้เมื่อถึงบทสรุปยังทำให้เห็นความจริงที่เป็นสัจธรรมว่าเวลาไม่เคยหยุด แม้มนุษย์อาจหยุดได้บ้างบางครั้งแต่ที่สุดก็ต้องเดินไปตามเวลา สุดท้ายความรักก็ไม่ต่างจากกลีบซากุระที่มีเบ่งบานและมี่ร่วงโรย แต่เมื่อถึงเวลาร่วงโรยความกลีบซากุระยังคงมอบความงดงามให้ได้สัมผัส ได้เสพซึ้งถึงหัวใจ เพราะมนุษย์หยุดเวลาไม่ได้จึงได้แค่เก็บเอาเสี้ยวของเวลาไว้ในความทรงจำถ้าจะมีหนังสักเรื่องที่เล่าไปเรื่อยๆแต่ตรึงผู้ชมได้จนไม่อยากหลุดแม้แต่บทสนทนาดียวเรื่องนี้คือใช่ เพราะความไม่เร่งเร้าปล่อยให้เหตุการณ์เดินไปอย่างเป็นธรรมชาติ เก็บเกี่ยวความรู้สึกผู้ชมทีละน้อยจากจุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดสูงสุดของความสุข แล้วดึงลงมาสู่ความรวดร้าวที่จุดลึกสุดแล้วก็ปล่อยให้ชีวิตเดินไปตามครรลอง เมื่อให้มองเห็นสัจธรรมของชีวิตที่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรชีวิตยังต้องเดินต่อไป มันคือชีวิตที่ต้องมีพลังแห่งความรักพยุงไว้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง พร้อมกับความสัตย์ซื่อในสิ่งที่ต้องการเล่าเมื่อเรื่องอาจดูเหมือนหักหาญน้ำใจแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดูเกินเลย แต่ความที่ไปตรงๆแบบนี้ผ่านงานด้านภาพสวยๆแบบนี้และเพลงประกอบประมาณนี้ ดูยังไงในความหม่นโศกยังมีความซาบซึ้งอยู่ข้างในและถ้าจะมองว่านี่คือหนังที่ยึดครองหัวใจผู้ชมได้ทั้งหมดเรื่องนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องที่ใช่ เพราะไม่มีทางเลยที่ผู้ชมจะไม่รู้สึกอะไรกับการดูหนังเรื่องนี้ เพราะถ้าเป็นคนที่ชอบดูหนังญี่ปุ่นหนังเรื่องนี้ยิ่งใช่ หรือคนที่ชอบดราม่าจัดจ้านเรื่องนี้ก็ยังใช่ กระทั่งจะเอามุมโรแมนติกก็ยังน่าจะใช่เพราะถึงที่สุดก็รู้ว่าฮาโตรุใส่อะไรลงไปในรูปที่ถ่าย การยอมเจ็บปวดเพื่อไม่เหนี่ยวรั้งคนที่รักแม้สุดท้ายจะฉุดรั้งโดยไม่ตังใจของมิซากิแต่ก็มองเห็นรักแท้ที่สวยงาม และรักแท้นั้นก็เป็นมือที่ดึงคนที่รัดลุกขึ้นมาอีกครั้ง เป็นหนังที่อาจเดินเรื่อยๆผ่านความระทมอมโศกแต่กลับไม่รู้สึกเนือยเอื่อย กลับกันคือมีความน่าติดตามอย่างหนักเพราะแค่เดินเข้าแกลลอรี่ผู้ชมยังลุ้นสุดใจ หรือกระทั่งเอนด์เครคิดสุดท้ายยังรู้สึกขมในคอ อาจไม่ถึงกับต้องดูก่อนตาย แต่ถ้าได้ดูแล้วก็ไม่เสียดายเช่นกัน